- ปริมาณยอดขายหลักเพิ่มขึ้น 5.3%
- ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าราว 3.3 พันล้านยูโร (+18.8%)
- มูลค่า EBITDA ทวีขึ้นเกือบสามเท่า เป็นมูลค่า 743 ล้านยูโร
- รายได้สุทธิเพิ่มมูลค่าเป็น 393 ล้านยูโร (>1,800%))
- กระแสเงินสดจากการดำเนินการเพิ่มมูลค่าเป็น 318 ล้านยูโร
- ทิศทางปี 2021: คาดการณ์ปีงบประมาณ 2021 มีแนวโน้มที่ดี
- ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในการมุ่งสู่แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
โคเวสโตรมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อุปสงค์ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในไตรมาสแรกของปี 2021 ส่งผลดีอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ทำให้ปริมาณยอดขายหลักเพิ่มขึ้น 5.3% เทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว โดยปัจจัยหลักคือการฟื้นตัวที่เข้มแข็งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APAC) ที่อุปสงค์ได้ลดฮวบลงในช่วงไตรมาสแรกของปี 2020 เนื่องจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส อย่างไรก็ดี โอกาสในการเติบโตโดยรวมของกลุ่มธุรกิจโคเวสโตรในช่วงไตรมาสแรกนี้ถูกยับยั้งโดยความแปรปรนของสภาพอากาศในภูมิภาคอเมริกาเหนือที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ ซึ่งได้ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดมีจำนวนจำกัด รวมทั้งยังประสบกับปัญหาคอขวดในการขนส่งวัตถุดิบอีกด้วย ในไตรมาสแรก กลุ่มธุรกิจโคเวสโตรมียอดขายที่เพิ่มขึ้น 18.8% เป็นมูลค่า 3.3 พันล้านยูโร โดยปัจจัยหลักคือราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้น กอปรกับปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้นและปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลให้มูลค่า EBITDA ทวีขึ้นเกือบสามเท่า เป็นมูลค่า 743 ล้านยูโร (มูลค่าปีที่แล้ว: 254 ล้านยูโร) กระแสเงินสดจากการดำเนินการ (Free Operating Cash Flow : FOCF) เพิ่มมูลค่าเป็น 318 ล้านยูโร ซึ่งเพิ่มขึ้นราว 60 ล้านยูโรจากปีที่แล้ว (มูลค่าปีที่แล้ว 249 ล้านยูโร)
ดร. มาคุส ชไตเลอแมน ประธานกรรมการบริหารของโคเวสโตร กล่าวว่า “เราประสบความสำเร็จมากในช่วงต้นปี 2021 และเห็นแนวโน้มที่ดีในช่วงต่อๆ ไปของปี เราจะใช้โอกาสในการเติบโตนี้โดยเดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ของเราเพื่อมุ่งไปสู่อนาคต เราพยายามขับเคลื่อนอย่างเต็มที่เพื่อก้าวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน โดยผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าอนาคตที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากนวัตกรรมวัสดุของเรา”
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 โคเวสโตรได้นำเสนอกลยุทธ์องค์กรใหม่ คือ “อนาคตที่ยั่งยืน” ซึ่งมีแนวคิดหลักคือการคำนึงถึงลูกค้าเป็นศูนย์กลางและการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ กลุ่มธุรกิจโคเวสโตรมีแผนที่จะปรับโครงสร้างธุรกิจให้เป็น 7 หน่วยธุรกิจหลักในการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2021 เป็นต้นไป โดยองค์การธุรกิจเหล่านี้จะถูกแบ่งตามปัจจัยความสำเร็จและปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าและความต้องการของตลาด เพื่อให้บริษัทสามารถปรับกระบวนการและผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นที่ประสิทธิผลและความยั่งยืน ซึ่งในอนาคต โคเวสโตรจะแบ่งเป็นสองประเภทธุรกิจหลักๆ นั่นคือ: “Performance Materials” และ “Solutions and Specialties”
ทิศทางปี 2021: คาดการณ์ปีงบประมาณ 2021 มีแนวโน้มที่ดี
โดยที่การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างดีเกินความคาดหมาย เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2021 โคเวสโตรได้ปรับวิถีทัศน์สำหรับปีงบประมาณ 2021 ไปในทิศทางที่ดีขึ้น กลุ่มธุรกิจคาดว่ามูลค่า EBITDA จะอยู่ในช่วงระหว่าง 2.2-2.7 พันล้านยูโร มูลค่า FOCF คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 1.3-1.8 พันล้านยูโร ROCE อยู่ระหว่าง 12-17% ส่วนปริมาณยอดขายหลักคาดว่าจะยังคงอยู่ที่ราว 10-15% ซึ่ง 6% ของจำนวนนี้มาจากธุรกิจ Resins & Functional Materials business (RFM) ที่อยู่ระหว่างรวมธุรกิจเข้ากับบริษัท ภายหลังจากการเข้าครอบครองกิจการจาก DSM สำเร็จเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2021 นอกจากนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s ได้ยกระดับเกรดการลงทุนของโคเวสโตรเป็น “stable” เมื่อเดือนมีนาคม 2021
ดร.โทมัส เทอปเฟอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของบริษัทโคเวสโตร กล่าวว่า “เราเริ่มต้นปีด้วยไตรมาสแรกที่เข้มแข็ง อุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์ของเรายังคงอยู่ในระดับที่สูง และเราทำกำไรได้เพิ่มขึ้นจากยอดขายอีกด้วย” ในปีงบประมาณ 2021 เราคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ในทุกภูมิภาคและคงความเป็นผู้นำของบริษัทเราไว้”
โคเวสโตรคาดการณ์ว่ามูลค่า EBITDA ในไตรมาสที่สองของปี 2021 จะมีมูลค่าระหว่าง 730 - 870 ล้านยูโร
ผลงานวิจัยใหม่ๆ ที่ปูทางสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน
การเติบโตอย่างยั่งยืนเป็นเป้าประสงค์หลักข้อหนึ่งของโคเวสโตร กลุ่มธุรกิจมุ่งมั่นสู่การหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบในระยะยาวในระยะยาว โดยมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อผลักดันสู่จุดหมายนั้น
ตั้งแต่ช่วงต้นปี บริษัทได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรจากภาควิจัยและภาคอุตสาหกรรม เพื่อประยุกต์พัฒนาเทคโนโลยีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ของบริษัท ซึ่งทำให้โคเวสโตรสามารถทดแทนวัตถุดิบที่ผลิตจากฟอสซิลด้วยก๊าซ CO2 ได้มากถึง 20% ซึ่งจะเป็นวัตถุดิบที่ลำค่าในการผลิตพลาสติก ตัวอย่างความสำเร็จอื่น ๆ เช่น นวัตกรรมการใช้ก๊าซ CO2 เป็นส่วนประกอบในสารลดแรงตึงผิวที่ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในผลิตภัณฑ์ประจำบ้าน อาทิ ผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาด โดยวัสดุที่ทำมาจากก๊าซ CO2 ที่สร้างความยั่งยืนเหล่านี้สามารถนำไปใช้กับการผลิตวัสดุต่างๆ อาทิ แผ่นฉนวนสำหรับการก่อสร้างที่อยู่อาศัย หรือโฟมยืดหยุ่น (flexible foams) สำหรับพื้นรองเท้ากีฬาชนิดวิ่ง เดินเขา หรือเล่นสกีได้ในอนาคต
โคเวสโตรยังได้บรรลุเป้าหมายสำคัญเรื่องพลังงานทดแทน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2021 โคเวสโตรได้รับพลังงานไฟฟ้าราว 45% ของปริมาณพลังงานทั้งหมดที่ต้องใช้ในกระบวนการผลิตที่เมืองแอนต์เวิร์ป (ประเทศเบลเยี่ยม) จากกังหันลมบนบก ซึ่งสัญญาจัดส่งพลังงานที่ได้ลงนามกับบริษัทพลังงาน ENGIE ของเบลเยี่ยมเป็นสัญญาฉบับที่สองที่เป็นลักษณะนี้ โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2019 โคเวสโตรทำสัญญากับบริษัทพลังงาน Ørsted ซึ่งจะเริ่มจัดส่งพลังงานไฟฟ้าส่วนหลักส่วนหนึ่งให้กับโรงงานผลิตของโคเวสโตรในเยอรมนีตั้งแต่ปี 2025
เพื่อให้เกิดการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของวัสดุของโคเวสโตรได้อย่างต่อเนื่อง กลุ่มธุรกิจได้มุ่งขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลใหม่ๆ โดยในเดือนมีนาคม 2021 ที่ผ่านมา โคเวสโตรได้เริ่มโรงงานนำร่องที่เมืองเลเวอร์คูเซิน (ประเทศเยอรมนี) สำหรับการรีไซเคิลสารเคมีของโฟมโพลียูรีเทนชนิดยืดหยุ่นจากที่นอน โดยตั้งเป้าว่าจะทำอุตสาหกรรมรีไซเคิลสารเคมีของโฟมโพลียูรีเทนแล้วนำวัตถุดิบที่ได้รับจากกระบวนการดังกล่าวไปจำหน่ายในท้องตลาดต่อไป
ยอดขายเพิ่มขึ้นทุกหมวดสินค้า อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ในไตรมาสแรกของปี 2021 ยอดขายหลักของหมวดโพลียูรีเทนเพิ่มขึ้น 2.5% เทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว การเติบโตในภูมิภาค APAC สามารถชดเชยการที่ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดมีจำนวนจำกัดและผลกระทบเชิงลบต่อแนวโน้มการเติบโตในภูมิภาคอื่นๆ การทำกำไรได้เพิ่มจากยอดขายและสถานการณ์การแข่งขันที่เอื้ออำนวยนำไปสู่การเพิ่มยอดขาย 30.7% มูลค่าประมาณ 1.7 พันล้านยูโร ในไตรมาสแรก มูลค่า EBITDA ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เป็นมูลค่า 443 พันล้านยูโร สืบเนื่องจากราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น (ปีที่แล้วมูลค่า 50 ล้านยูโร) การจัดสรรค่าตอบแทนผันแปรและค่าต้นทุนสินค้าขายชั่วคราวส่งผลให้รายได้ลดลง
ในไตรมาสแรกของปี 2021 อัตราการเติบโตของยอดขายหลักของกลุ่มผลิตภัณฑ์โพลีคาร์บอเนตเพิ่มขึ้น 11.6% เทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว สืบเนื่องจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและการเติบขยายของยอดขายหลัก โดยเฉพาะในภูมิภาค APAC ยอดขายเติบโต 21.3% ที่มูลค่า 889 ล้านยูโร โดยมีสาเหตุหลักคือราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากสถานการณ์การแข่งขันที่เอื้ออำนวยและยอดขายที่สูงขึ้น อันนำไปสู่มูลค่า EBITDA ที่เพิ่มมูลค่าเป็น 222 ล้านยูโร (มูลค่าปีที่แล้ว: 109 ล้านยูโร) การจัดสรรค่าตอบแทนผันแปรและค่าต้นทุนสินค้าขายชั่วคราวส่งผลให้รายได้ลดลง
ยอดขายหลักในกลุ่มผลิตภัณฑ์สารเคลือบ กาว และผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้งานพิเศษ เพิ่มขึ้น 7.1% จากไตรมาสปีที่แล้ว โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในไตรมาสแรก ปัญหาคอขวดในการขนส่งวัตถุดิบส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีจำนวนจำกัดและชะลอโอกาสในการเติบโต การที่สามารถเพิ่มยอดขายมวลรวมได้ในราคาขายที่สูงขึ้นส่งผลกระทบเชิงบวกต่อยอดขาย ซึ่งเพิ่มขึ้น 4% มีมูลค่า 595 ล้านยูโรในไตรมาสแรก ในทางกลับกัน มูลค่า EBITDA ลดลงเหลือ 114 ล้านยูโร (มูลค่าปีที่แล้ว 130 ล้านยูโร) โดยการจัดสรรค่าตอบแทนผันแปรเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้รายได้ลดลง อย่างไรก็ดี ปริมาณขายที่มากขึ้นและราคาขายที่สูงขึ้นทำให้รายได้เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน